2025-09-26 09:35:01
ในยุคที่ปัญหาโลกร้อนกำลังเป็นประเด็นใหญ่ การเลือกกินของเราไม่ได้มีผลต่อสุขภาพอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อโลกทั้งใบ หนึ่งในเมนูที่กำลังถูกจับตามองคือ ไอติมกะทิสด ที่หลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงของหวานธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วการเลือกกะทิแทนนมวัว อาจช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างมาก
อาหารแต่ละจานที่เรากินล้วนมาพร้อมกับร่องรอยการผลิต ซึ่งแปลเป็น “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” ตั้งแต่การปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ขนส่ง ไปจนถึงการแปรรูป โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมนมวัว ที่ปล่อยก๊าซมีเทนในปริมาณมหาศาล
อาหารจากพืชหรือ Plant-based ไม่ได้เป็นแค่กระแสสุขภาพ แต่ยังกลายเป็นแนวทางรักษ์โลก หลายคนเริ่มหันมาเลือกไอศกรีมที่ทำจากพืช เช่น กะทิ ถั่วเหลือง หรืออัลมอนด์แทนนมวัว
การเลี้ยงวัวต้องใช้พื้นที่ ปริมาณน้ำ และอาหารสัตว์จำนวนมาก อีกทั้งยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน
การปลูกมะพร้าวใช้ทรัพยากรน้อยกว่ามาก และยังช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ด้วย ดังนั้น เมื่อเราเลือกกะทิแทนนมวัว จึงเท่ากับช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปในตัว
กะทิมีกรดไขมันชนิด Medium Chain Triglycerides (MCTs) ซึ่งร่างกายสามารถย่อยและเปลี่ยนเป็นพลังงานได้รวดเร็ว ต่างจากไขมันอิ่มตัวทั่วไปที่มักจะสะสมเป็นไขมันส่วนเกิน การกินไอติมกะทิสดในปริมาณมีความเหมาะสมจึงไม่เพียงให้ความอร่อย แต่ยังช่วยให้ร่างกายได้รับไขมันที่ดีต่อการทำงานของสมองและระบบเผาผลาญอีกด้วย
หลายคนที่แพ้นมวัวอาจพลาดการกินไอติม แต่ไอติมกะทิสดคือทางเลือกที่ตอบโจทย์
เบื้องหลังไอติมกะทิสดทุกถ้วยคือแรงความตั้งใจของเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าว เมื่อความต้องการกะทิเพิ่มขึ้น เกษตรกรก็มีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น นับว่าเป็นการหมุนเวียนประโยชน์กลับสู่ท้องถิ่น
ธุรกิจอาหารที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความนิยม ไม่ว่าจะเป็นร้านคาเฟ่ ร้านไอศกรีม หรือสตรีทฟู้ด ไอติมกะทิสดสามารถต่อยอดให้เป็นสินค้าพรีเมียมได้ทั้งในตลาดท้องถิ่นและตลาดต่างประเทศ
นมวัว: การผลิต 1 ลิตร ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเฉลี่ย 3 กิโลกรัม CO₂e
กะทิ: การผลิต 1 ลิตร ปล่อยเพียงประมาณ 0.7 กิโลกรัม CO₂e
ตัวเลขนี้สะท้อนว่าแค่เปลี่ยนจากนมวัวมาเป็นกะทิ เราก็ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้หลายเท่า
การเลือกไอติมกะทิสดแทนไอศกรีมจากนมวัวอาจดูเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่เราก็มักจะเริ่มจากเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้แหละ